วัดป่ากลางโนนภู่
พระอาจารย์ฉลวย ( หลวงปู่ฉลวย สุธมฺโม วัดป่าวิทยาลัย อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ มรณภาพแล้ว ) ได้เดินธุดงค์ไปนมัสการหลวงปู่มั่น ที่วัดป่าบ้านหนองผือ ก่อนจะเข้าไปถึงวัดปากทางคือบ้านของนายอ่อน โมราราษฎร์ อุปฐากผู้ให้ที่พักและคอยรับส่งผู้ที่จะเข้าไปยังวัดป่าบ้านหนองผือ พระอาจารย์ฉลวยได้ไปอาศัยพักเช่นกัน นายอ่อนได้กล่าวถึงสถานที่บริเวณบ้านกุดก้อมว่า ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ ( จูม พนฺธุโล ) เคยกล่าวว่า ที่นั้นมีทำเลอันดีเหมาะสมที่จะสร้างวัด พระอาจารย์ฉลวยจึงขอให้นายอ่อนพาไปดู จึงพบว่าเป็นสัปปายะเหมาะแก่การภาวนาจริง จึงได้สร้างเสนาสนะขึ้นนายอ่อนก็ได้ถวายที่ดินของตนเพิ่มเติมด้วยจึงได้เป็นวัดป่าบ้านกลางโนนภู่ ในเวลาต่อมา โดยมีพระอาจารย์ฉลวยเป็นเจ้าอาวาสองค์แรก ต่อมาท่านได้นิมนต์ พระอาจารย์กู่ ธมฺมธินฺโน มาเป็นเจ้าอาวาสสืบต่อมา
พอออกพรรษาแล้วพรและครูบาอาจารย์ที่จำพรรษาอยู่ในที่ต่าง ๆ ก็ทยอยกันมากราบเยี่ยมและปฏิบัติท่านมากขึ้นเป็นลำดับ อาการท่านหนักเข้าทุกวันรู้สึกไม่น่าไว้ใจ ท่านจึงได้ประชุมเตือนให้บรรดาศิษย์ทราบในการที่จะปฏิบัติต่อท่านด้วยความเหมาะสมว่า “การป่วยของผมจวนถึงวาระเข้าทุกวัน จะพากันอย่างไรก็ควรคิดเสียแต่บัดนี้จะได้ทันกับเหตุการณ์ ผมน่าจะต้องตายแน่นอนในคราวนี้ดังที่เคยพูดไว้แล้วหลายครั้ง แต่การตายของผมเป็นเรื่องใหญ่ของสัตว์และประชาชนทั่วไปอยู่มาก ด้วยเหตุนี้ผมจึงเผดียงท่านทั้งหลายให้ทราบว่าผมไม่อยากตายอยู่ที่นี่ ถ้าตายที่นี่จะเป็นการกระเทือนและทำลายชีวิตสัตว์ไม่น้อยเลย สำหรับผมตายเพียงคนเดียว แต่สัตว์ที่จะพลอยตายเพราะผมเป็นเหตุนั้นมีจำนวนมาก เพราะคนจะมามาก ทั้งนี้ที่ไม่มีตลาดแลกเปลี่ยนซื้อขายกัน
นับแต่ผมมาบวชไม่เคยคิดให้สัตว์ได้รับความลำบากเดือดร้อนโดยไม่ต้องพูดถึงการฆ่าเขาเลย มีแต่ความเมตตาสงสารเป็นพื้นฐานของใจตลอดมา ทุกเวลาได้แผ่เมตตาจิตอุทิศแก่สัตว์ไม่เลือกหน้า โดยไม่มีประมาณตลอดมา เวลาตายแล้วจะกลายเป็นศัตรูคู่เวรแก่สัตว์ ให้เขาล้มตายจากชีวิตที่แสนรักสงวนของแต่ละตัว เพราะผมเป็นเหตุเพียงคนเดียวนั้นผมทำไม่ลง อย่างไรขอให้นำผมออกไปตายที่สกลนคร เพราะที่นั่นเขามีตลาดอยู่แล้ว คงไม่กระเทือนชีวิตของสัตว์มากเหมือนที่นี่ เพียงผมป่วยยังไม่ถึงตายเลย ผู้คนพระเณรก็พากันหลั่งไหลไม่หยุดหย่อนและนับวันมากขึ้นโดยลำดับ ซึ่งพอเป็นพยานอย่างประจักษ์แล้ว ยิ่งผมตายลงไปพระเณรจะพากันมามากเพียงไร ขอได้พากันคิดเอาเอง
เพียงผมคนเดียวไม่คำนึงถึงความทุกข์เดือดร้อนของผู้อื่นเลยนั้น ผมตายได้ทุกสถานที่ทุกเวลา ไม่อาลัยเสียดายร่างกายอันนี้เลย เพราะผมได้พิจารณาทราบเรื่องของมันตลอดเวลาทั่วถึงแล้วว่า เป็นเพียงส่วนผสมแห่งธาตุรวมกันอยู่ชั่วระยะกาล แล้วก็แตกทำลายไปสู่ธาตุเดิมของมันเท่านั้น จะมาอาลัยเสียดายหาประโยชน์อะไร เท่าที่พูดนี้ก็เพื่อความอนุเคราะห์สัตว์ อย่าให้เขาต้องมาพร้อมกันตายเป็นป่าช้าผีดิบวางขายเกลื่อนอยู่ริมถนนหนทาง อันเป็นที่น่าสมเพช ฉะนั้นจึงขอให้รับจัดการให้ผมได้ออกไปทันกับเวลาที่ยังควรอยู่ในระยะนี้เพื่ออนุเคราะห์สัตว์ที่รอตายตามผมอยู่เป็นจำนวนมากให้เขาได้มีความปลอดภัยในชีวิตของเขาโดยทั่วกันหรือใครมีความเห็นอย่างไรก็พูดได้ในเวลานี้”
ทั้งพระและญาติโยมรวมฟังกันอยู่จำนวนมาก ไม่มีใครพูดขึ้น มีแต่ความสงบเงียบแห่งบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง ดังบธรรมท่านว่า ปรารถนาไม่สมหวังย่อมเป็นทุกข์ คือท่านจะอยู่วัดหนองผือก็ต้องตาย จะออกไปสกลนครก็ต้องตาย ไม่มีหวังทั้งนั้น ที่ประชุมจึงต่างคนต่างเงียบ หมดทาแก้ไขทุกประตู จึงเป็นอันพร้อมกันยินดีและตกลงตามความเป็นและประสงค์ร่วมกัน
เมื่อฝ่ายพระสงฆ์และฝ่ายชาวบ้านต่างทราบคำชี้แจงจากท่านในที่ประชุมด้วยกัน และไม่มีใครคัดค้านแล้ว ก็ตกลงกันทำแคร่สำหรับหามท่านออกจากวัดหนองผือไปสกลนคร ระหว่างทางจากหนองผือถึงอำเภอพรรณนานิคมตามสายทางที่ไปนั้นราว 600 เส้น แม้เช่นนั้นก็ไม่ได้สนใจว่าใกล้หรือไกล สิ่งที่สนใจฝังลึกก็คือความอาลัยอาวรณ์ยังไม่อยากให้ท่านจากไปในเวลานี้ เพราะเป็นเวลาที่ตนกำลังอาการหนักมากเกี่ยวกับปัญหาทางภายใน คิดวนไปเวียนมาก็ลงเอยด้วยความหมดหวังไม่มีทางสืบต่อกันได้เลย อาการของท่านรู้สึกสงบมากตลอดทางที่ไกลแสนไกล
การออกเดินทางจากวัดหนองผือเริ่มตั้งแต่เวลาประมาณ 9 นาฬิกา มุ่งหน้าไปพักวัดบ้านภู่ อำเภอพรรณนานิคม จังหวัดสกลนคร ชั่วระยะก่อนพอท่านหายเหนื่อยบ้างแล้วจึงเดินทางไปยังสกลนครไปถึงวัดบ้านภู่ราว 17.00 น. การเดินทางกินเวลาหลายชั่วโมงเพราะเดินอ้อมเขา เพื่อความสะดวกสำหรับองค์ท่านและคนแก่ที่พยายามมาตะเกียกตะกายตามส่งท่านมีมากทั้งหญิงทั้งชายพอไปถึงวัดบ้านภู่ก็อาราธนาท่านเข้าพักที่ศาลาเตี้ย ๆ เพื่อสะดวกแก่การถวายอุปัฏฐากรักษา ตลอดประชาชนพระเณรที่มากราบเยี่ยมอาการท่านก็สะดวก นับแต่วันอาราธนาท่านไปพักที่นั่นอาการก็ทรุดลงโดยลำดับ ประชาชนพระเณรก็หลั่งไหลมากันมากเต็มไปหมด ที่อาราธนาท่านมาพักที่วดบ้านภู่ราว 10 วัน นับแต่เวลาล่วงไป 4-5 วันแล้วท่านเร่งให้พาท่านไปสกลนครวันหนึ่งหลายครั้ง พระอาจารย์ทั้งหลายก็นิ่งบ้างเรียนถวายบ้าง นก็เร่งและดุเอาบ้างว่า จะให้ผมตายอยู่ที่นี่เชียวหรือ ผมบอกแล้วตั้งแต่ต้นทางก่อนออกมาว่าผมจะไปตายที่สกลนคร นี่ก็จวนเต็มทีแล้วรีบพาผมไปอย่ารอนาน
|
|
เขื่อนน้ำอูน
อำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร
เป็นเขื่อนดิน สร้างกั้นลำน้ำอูนซึ่งเป็นสายหนึ่งของแม่น้ำสงคราม ซึ่งมีต้นน้ำมาจากทิวเขาภูพาน จังหวัดสกลนคร ตัวเขื่อนน้ำอูน มีความสูง 29.50 เมตร สันเขื่อนยาว 3,000 เมตร เก็บน้ำได้ 520 ล้านลูกบาศก์เมตร
พิกัด
![]() |