ชีวประวัติหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต
กาลานุกรมชีวประวัติ

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เป็นอาจารย์ทางวิปัสสนา ซึ่งได้รับยกย่องสรรเสริญอย่างยิ่งจากบรรดาศิษย์ผู้อยู่ใกล้ชิดท่าน ว่าเป็นอาจารย์วิปัสสนาชั้นเยี่ยมในสมัยปัจจุบัน จากเนื้อธรรมที่ท่านแสดงออกเป็นธรรมชั้นสูง ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดได้มีโอกาสฟังอย่างถึงใจตลอดมา ทำให้ปราศจากความสงสัยในองค์ท่านว่า สมควรตั้งอยู่ในภูมิธรรมขั้นใด ท่านมีคนเคารพนับถือมากมายทั้งบรรพชิดและคฤหัสถ์ในภาคต่าง ๆ เกือบทั่วประเทศไทย

นอกจากนั้น ท่านยังมีสานุศิษย์ทั้งนักบวชและฆราวาสในประเทศลาวอีกมากมายที่เคารพเลื่อมใสท่านอย่างถึงใจตลอดมา ท่านมีประวัติงดงามมากทั้งเวลาเป็นคฤหัสถ์และเวลาทรงเพศเป็นนักบวช ตอดอวสานสุดท้ายไม่มีความด่างพร้อยเลย ซึ่งเป็นประวัติที่หาได้ยากในสมัยปัจจุบัน ความเป็นผู้มีประวัติอันงดงามตลอดสายนี้ รู้สึกจะหายากยิ่งกว่าหาเพชรหาพลอยเป็นไหน ๆ

ท่านเกิดในสกุลแก่นแก้ว โดยนายคำด้วงเป็นบิดา นางจันทร์เป็นมารดา นับถือพระพุทธศาสนาประจำสกุลตลอดมา เกิดวันพฤหัสบดี เดือนยี่ ปีมะแม วันที่ 20 มกราคม 2413 ที่บ้านคำบง ตำบลโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี มีพี่น้องร่วมท้องกัน 9 คน

ท่านเป็นคนหัวปี มีร่างเล็ก ผิวขาวแดง มีความเข้มแข็งว่องไวประจำนิสัย มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดมาตั้งแต่เล็ก พออายุได้ 15 ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณรอยู่สำนักวัดบ้านคำบง มีความสนใจและรักชอบในการศึกษาธรรมะ เรียนสูตรต่าง ๆ ในสำนักอาจารย์ได้อย่างรวดเร็ว มีความประพฤติและอัธยาศัยเรียบร้อย ไม่เป็นที่หนักใจหมู่คณะและครูอาจารย์ที่ให้ความอนุเคราะห์

เมื่อบวชได้ 2 ปี ท่านจำต้องสึกออกไปตามคำขอร้องของบิดาที่มีความจำเป็นต่อท่าน แม้สึกออกไปแล้ว ท่านก็ยังมีความมั่นใจที่จะบวชอีก เพราะมีความรักในเพศนักบวชมาประจำนิสัย เวลาสึกออกไปเป็นฆราวาสแล้ว ใจท่านยังประหวัดถึงเพศนักบวชมิได้หลงลืมและจืดจาง ทั้งยังปักใจว่าจะกลับมาบวชใหม่ในอีกไม่ช้า ทั้งนี้อาจเป็นเพราะอำนาจศรัทธาที่มีกำลังแรงกล้าประจำนิสัยมาดั้งเดิมก็เป็นได้

พออายุได้ 22 ปี ท่านมีศรัทธาอยากบวชเป็นกำลังจึงได้ลาบิดามารดา ท่านทั้งสองก็อนุญาตตามใจไม่ขัดศรัทธา เพราะมีประสงค์จะให้ลูกของตนบวชอยู่แล้ว พร้อมทั้งยังมีศรัทธาจัดแจงบริขารในการบวชให้ลูกอย่างสมบูรณ์ ท่านได้เข้าอุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดสรีทองในตัวเมืองอุบล มีท่านพระอริยกวี เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านพระครูสีเทา เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ท่านพระครูประจักษ์อุบลคุณ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2436 พระอุปัชฌายะให้นามฉายาว่า ภูริทัตโต

เมื่ออุปสมบทแล้วได้มาอยู่ในสำนักวิปัสสนากับท่านพระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล วัดเลียบ เมืองอุบล บริกรรมภาวนาด้วยบทพุทโธ เป็นประจำนิสัยของพระอาจารย์มั่นมากกว่าบรรดาบทธรรมอื่น ๆ ในขั้นเริ่มแรกยังไมปรากฎความสงบสุขเท่าที่ควร ทำให้มีความสงสัยในปฏิปทาว่าจะถูกหรือผิดประการใด แต่มิได้ลดละความเพียรพยายาม

ในระยะต่อมาผลปรากฎเป็นความสงบพอให้ใจเย็นบ้าง ในคืนวันหนึ่งจึงเกิดสุบินนิมิต ซึ่งเป็นเครื่องแสดงความมั่นใจว่า จะมีทางสำเร็จตามใจหวังอย่างแน่นอนไม่เป็นอย่างอื่น ถ้าไม่ลดละความเพียรพยายามเสียเท่านั้น

จากนั้นพระอาจารย์มั่นจึงได้ตั้งหน้าประกอบความเพียรอย่างเข้มแข็ง มีบทพุทโธเป็นคำบริกรรมประจำใจในอริยาบถต่าง ๆ อย่างมั่นใจ ส่วนธรรมคือธุดงควัตรที่ท่านศึกษาเป็นประจำด้วยความรักสงวนอย่างยิ่งตลอดมานับแต่เริ่มอุปสมบทจนถึงวันสุดท้ายปลายแดนแห่งชีวิต ได้แก่ ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ไม่รับคหปติจีวรที่เขาถวายด้วยมือ 1 บิณฑบาตเป็นวัดประจำวันไม่ลดละ เว้นเฉพาะวันที่ไม่ฉันเลยก็ไม่ไป 1 ไม่รับอาหารที่ตามส่งทีหลัง คือรับเฉพาะที่ได้มาในบาตร 1 ฉันมื้อเดียว คือฉันวันละหนไม่มีอาหารว่างใด ๆ ที่เป็นอามาเข้ามาปะปนในวันนั้น ๆ 1 ฉันในบาตรคือมีภาชนะใบเดียวฉัตรเป็นวัตร 1 อยู่ในป่าเป็นวัตร คือเที่ยวอยู่ตามร่มไม้บ้าง ในป่าธรรมดา ในภูเขาบ้าง หุบเขาบ้าง ในถ้ำ ในเงื้อมผาบ้าง 1 ถือผ้าไตรจีวรเป็นวัตร คือ มีผ้า 3 ผืน ได้แก่ สังฆาฏิ จีวร สบง (เว้นผ้าอาบน้ำฝนซึ่งจำเป็นต้องมีในสมัยนี้)

ในระยะต่อมาที่แน่ใจว่าจิตมีหลักฐานมั่นคงพอจะพิจารณาได้แล้ว ท่านจึงย้อนมาพิจารณาสุบินนิมิตจนได้ความโดยลำดับว่า

การออกบวชปฏิบัติตนสมควรแก่ธรรมก็เท่ากับการยกระดับจิตใจให้พ้นจากความผิดมีประเภทต่าง ๆ ซึ่งเปรียบเสมือนบ้านเรือนอันเป็นที่รวมแห่งสรรพทุกข์ และป่าอันรกชัฏทั้งหลาย อันเป็นที่ซุ่มซ่อนแห่งภัยทั้งปวงให้ถึงที่เวิ้งว้างไม่มีจุดหมาย ซึ่งเมื่อเข้าถึงแล้วเป็นคุณธรรมที่แสนสบายกังวลโดยประการทั้งปวง ด้วยปฏิปทาข้อปฏิบัติที่เหมือนม้าตัวองอาจเป็นพาหนะขับขี่ไปถึงที่อันเกษมและพาไปพบตู้พระไตรปิฎกอันวิจิตรสวยงาม แต่วาสนาไม่อำนวยสมบูรณ์ จึงเป็นเพียงได้เห็น

ปฏิปทา คือ ข้อปฎิบัติที่หลวงปู่มั่นพาดำเนินและธรรมะที่ท่านนำมาอบรมสั่งสอน แต่ละบทบาท แต่ละครั้งแต่ละคราว ล้วนเป็นความซาบซึ้งใจไพเราะเหลือเกินจะพรรณนาและยากที่จะได้เห็นได้ยินจากที่อื่นในสมัยปัจจุบันซึ่งเป็นสมัยที่ต้องการคนดีอยู่มาก

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ได้อาศัยอยู่ตามป่าตามเขาตลอด 57 ปีของการบรรพชา ในช่วงระยะ 5 ปีที่ย่างเข้าวัยชรา จึงได้พำนักเป็นหลักแหล่ง ณ วัดป่าหนองผือนาใน อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร

ซึ่งช่วงนั้นท่านได้สั่งสอนอบรมศิษยานุศิษย์เป็นจำนวนมาก ชื่อเสียงล่ำลือไปทั่วมีประชาชนนับถือทั่วประเทศ จนกระทั่งท่านอาพาธหนักเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2492 และท่านได้มรณภาพลงอย่างสงบ เมื่อวันที่ 11 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2492 และคณะศิษย์ได้ร่วมจัดงานประชุมเพลิงท่าน ณ วัดป่าสุทธาวาส อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร เมื่อวันที 30 เดือนมกราคม พ.ศ. 2493
สิริรวมอายุได้ 80 ปี

กาลานุกรมชีวประวัติหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
(พ.ศ. ๒๔๑๓ – พ.ศ. ๒๔๙๒)
พ.ศ. ๒๔๑๓ กำเนิด ณ บ้านคำบง อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี
พ.ศ. ๒๔๒๘ บวชเป็นสามเณรตอนอายุ ๑๕ ปี ณ วัดบ้านคำบง อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี
พ.ศ. ๒๔๓๖ บวชพระภิกษุ ณ วัดเลียบ จ.อุบลราชธานี และธุดงค์ไปทางลาวกับหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล
พ.ศ. ๒๔๔๔ กลับมาไทยทางวัดพระธาตุพนม
พ.ศ. ๒๔๔๕ ธุดงค์ไปทางพม่า พระธาตุชเวดากองกับเจ้าคุณเทพมงคลปัญญาจารย์
พ.ศ. ๒๔๔๗ เกิดสุบินนิมิต ณ วัดเลียบ จ.อุบลราชธานี
พ.ศ. ๒๔๕๕ ธุดงค์แถวถ้ำไผ่ขวาง ถ้ำสาลิกา
พ.ศ. ๒๔๕๗ เรียนพระปริยัติและจำพรรษา ณ วัดสระปทุม กรุงเทพฯ
พ.ศ. ๒๔๕๘ จำพรรษา ณ วัดบูรพา จ.อุบลราชธานี
พ.ศ. ๒๔๕๙ จำพรรษาที่ภูผากูด อ.คำชะอี จ.นครพนม(ปัจจุบันคือ จ.มุกดาหาร)
พ.ศ. ๒๔๖๐ จำพรรษาที่บ้านดงปอ ห้วยหลวง อ.เพ็ญ จ.อุดรธานี
พ.ศ. ๒๔๖๑ จำพรรษาที่ถ้ำผาบิ้ง จ.เลย
พ.ศ. ๒๔๖๒ จำพรรษาที่บ้านค้อ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี
พ.ศ. ๒๔๖๓ จำพรรษาที่ อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย
พ.ศ. ๒๔๖๔ จำพรรษาที่บ้านห้วยทราย อ.มุกดาหาร จ.นครพนม(สมัยนั้น)
พ.ศ. ๒๔๖๕ จำพรรษาที่ ต.หนองลาด อ.วาริชภูมิ จ.สกลนคร
พ.ศ. ๒๔๖๖ จำพรรษาที่วัดมหาชัย อ.หนองบัวลำภู จ.หนองบัวลำภู
พ.ศ. ๒๔๖๗ จำพรรษาที่บ้านค้อ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี
พ.ศ. ๒๔๖๘ จำพรรษาที่ อ.ท่าบ่อ จ.อุดรธานี (วัดอรัญญวาสีในปัจจุบัน)
พ.ศ. ๒๔๖๙ จำพรรษาที่บ้านสามผง อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม
พ.ศ. ๒๔๗๐ จำพรรษาที่บ้านหนองขอน อ.หัวตะพาน จ.อำนาจเจริญ
พ.ศ. ๒๔๗๑ จำพรรษาที่วัดปทุมวนาราม (หรือวัดสระปทุม) กรุงเทพฯ
พ.ศ. ๒๔๗๒ จำพรรษาถ้ำเชียงดาว อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
พ.ศ. ๒๔๗๓ จำพรรษาที่ดอยจอมแตง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่
พ.ศ. ๒๔๗๔ จำพรรษาที่บ้านโป่ง อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่
พ.ศ. ๒๔๗๕ จำพรรษาที่วัดเจดีย์หลวง อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ออกพรรษาแล้ว ออกธุดงค์ไปทาง จ.เชียงราย
พ.ศ. ๒๔๗๗ จำพรรษาที่ป่าเมียง ดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่
พ.ศ. ๒๔๗๙ จำพรรษาที่บ้านมูเซอ อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย
พ.ศ. ๒๔๘๐ จำพรรษาที่พระธาตุจอมแจ้ง อ.แม่สรวย จ.เชียงราย
พ.ศ. ๒๔๘๑ พำนักที่วัดเจดีย์หลวง จ.เชียงใหม่
พ.ศ. ๒๔๘๒ จำพรรษาที่บ้านแม่กอย อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ (ปัจจุบันคือ วัดป่าอาจารย์มั่น) ออกพรรษาแล้ว เจ้าคุณจูม พันธุโล เดินทางมากราบนิมนต์ท่านกลับอีสาน
พ.ศ. ๒๔๘๓ จำพรรษาที่วัดป่าโนนนิเวศน์ อ.เมือง จ.อุดรธานี
พ.ศ. ๒๔๘๔ จำพรรษาที่วัดป่าโนนนิเวศน์ อ.เมือง จ.อุดรธานี
พ.ศ. ๒๔๘๕ จำพรรษาที่เสนาสนะป่าบ้านโคก อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร (ปัจจุบัน คือ วัดป่าวิสุทธิธรรม)
พ.ศ. ๒๔๘๖ จำพรรษาที่เสนาสนะป่าบ้านนามน อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร (ปัจจุบัน คือ วัดป่านาคนิมิตต์)
พ.ศ. ๒๔๘๗ จำพรรษาที่เสนาสนะป่าบ้านโคก อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร (ปัจจุบัน คือ วัดป่าวิสุทธิธรรม)
พ.ศ. ๒๔๘๘ จำพรรษาที่บ้านหนองผือ ต.นาใน อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร (ปัจจุบันคือ วัดป่าภูริทัตตถิราวาท) องค์ท่านจำพรรษาที่วัดแห่งนี้เป็นเวลา ๔ ปี จนถึงปีพ.ศ. ๒๔๙๒ หลังออกพรรษาคณะศิษยานุศิษย์ได้นำท่านไปพำนักที่วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร และได้มรณภาพลงที่วัดดังกล่าว เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๒ เวลา ๐๒.๒๓ น. รวมอายุได้ ๘๐ ปี ๕๘ พรรษา
© บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน)